สวัสดีครับ วันนี้จะมาพาทุกคนไปเที่ยวที่เมืองฟุกุชิมะ (Fukushima) ประเทศญี่ปุ่น กันครับ
ผมเดินทางไปช่วง 8-15 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา เที่ยวเต็มๆ ก็ประมาณ 6 วัน ส่วนอีกวันเดินทาง เป็นการเดินทางลุยเดี่ยวด้วยตัวเอง ที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง แต่ 3 วันแรกก็มีเพื่อนเที่ยว ไปเจอกันโดยบังเอิญที่สนามบินนาริตะ คุยกันไปคุยกันมา ไปเที่ยวเมืองเดียวกันพอดีก็เลยเที่ยวด้วยกันอยู่ 3 วัน
ทริปนี้มีคนชวนไปเที่ยวครับ เอาจริงๆ เลยก่อนไปไม่เคยมีข้อมูลเมืองนี้อยู่ในหัวเลย รีวิวอะไรก็ไม่ค่อยเห็น พอได้เริ่มหาข้อมูล ถึงได้รู้ว่า เฮ้ย!! เมืองนี้มันสวยนะ มีที่เที่ยวสวยๆ เยอะเลย และช่วงที่ผมไปนี่ก็เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ สำหรับใครที่จะหาข้อมูลการเที่ยวเมืองฟุกุชิมะ จะมีเพจ Welove Fukushima ที่เป็นเพจให้ข้อมูลเรื่องการท่องเที่ยวเป็นภาษาไทย ลองเข้าไปดูกันได้
ช่วงที่ไปที่เมืองฟุกุชิมะ อากาศค่อนข้างเย็น ช่วงกลางวันอยู่ที่ประมาณ 8-10 องศา แต่ถ้าวันไหนฝนตกก็หนาวไปอีก ใครกำลังมองหาที่เที่ยวหน้าหนาว เที่ยวช่วงปีใหม่ หรือจะไปเที่ยวไหนดี ในญี่ปุ่นที่ไม่ซ้ำ ผมแนะนำที่เมืองฟุกุชิมะ นี่ละครับ เพราะอากาศจะหนาวกว่าทางโตเกียว และดูรูปโปรโมทช่วงหน้าหนาวก็สวยเหมือนกันขาวโพลนเลยทีเดียว แต่เดี๋ยวลองไปติดตามที่ผมเที่ยวช่วงนี้กัยว่าจะสวยขนาดไหน
สำหรับใครที่อาจจะสงสัยว่าถ้าบินไปเที่ยวเมืองฟุกุชิมะ ต้องบินไปลงที่ไหน?
ถ้าจากไทย เอาสะดวกเลยคือ บินไปลงที่โตเกียว แล้วนั่งชินคันเซน ไปจากโตเกียวอีกแค่ประมาณ 1.30 ชั่วโมงครับ ไม่ไกล
พูดมาซะเยอะ เดี๋ยวไปเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า
รีวิวละเอียดม้วนเดียวจบเลยนะ ครับ ถ้าอ่านไม่ไหว ก็แชร์เก็บไว้ก่อน ว่างๆ ค่อยกลับมาอ่านใหม่ครับ 555
ขอเชิญเข้ากลุ่ม พูดคุย แลกเปลี่ยน เรื่องราวเที่ยวญี่ปุ่น
ที่กลุ่ม เที่ยวญี่ปุ่น ไปไหนมาแชร์
คลิกผ่านลิงค์ นี้ >>คลิก<<
หรือสแกน QR Code ตามรูปด้านล่างเลย
เริ่มต้นการเดินทางวันแรกกันเลย
8 พ.ย. 2560
ทริปนี้บินกับ Thai Airasia X , filght XJ600 เวลา 23.45 (DMK)-08.00 (NRT) จากดอนเมือง-โตเกียว(นาริตะ) มาถึงสนามบินดอนเมืองก็ตรงไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์เช็คอินแถวที่ 4 เลย วันนี้แอบมาถึงช้า แต่ยังทันเวลา มาถึงคนหน้าเคาน์เตอร์ไม่มีแล้วครับ เหลื่อแต่ จนท นั่งอยู่
ใครที่มีบัตรเครดิตแอร์เอเชียธนาคารกรุงเทพ ก็สามารถใช้คูปองโหลดกระเป๋า หรือเลือกที่นั่ง Hot seat และไปเช็คอินที่ช่องพิเศษ ช่องเดียวกับชั้นธุรกิจได้เลย แต่วันนี้ผมมาค่อนข้างช้า ที่นั่ง Hot seat ถูกจองเต็มหมดแล้ว เดี๋ยวนี้คนมีบัตรกันเยอะ ถ้าใครจะใช้คูปองเลือกที่นั่งต้องรีบมาเช็คอินเร็วหน่อยนะครับ
ส่วนกระเป๋าที่เราโหลด จนท ก็จะติดแท๊กให้ ไปถึงปลายทางก็จะได้รับกระเป๋าก่อน
***เคาน์เตอร์ปิดก่อนเดินทาง 1 ชั่วโมงนะคร๊าบ อย่ามาช้ากว่านี้ เดี๋ยวจะตกเครื่อง อันนี้ต้องบอกตัวเองด้วย 555
เช็คอินเรียบร้อยเดินเข้าไปด้านในอาคารดีกว่า ไปแวะห้องรับรองของ King Power หาอะไรกินก่อนขึ้นเครื่องซะหน่อย วันนี้มีราดหน้าทะเลด้วย ผมจัดไป 4 ชาม 555 แต่มันชามไม่ได้ใหญ่มาก ใครมีบัตร King Power ก็ใช้เข้าห้องรับรองได้ฟรีเลย
ได้เวลาขึ้นเครื่อง ไฟล์ทนี้บินด้วยเครื่องบิน Airbus รุ่น A330 ลำใหญ่ ที่นั่ง 3 3 3 และมีที่นั่ง 2 ช่วงท้ายลำ บินไปลงที่สนามบินนาริตะ (Terminal 2) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินนาริตะ อ้อ บนเครื่องก็สามารถแสดงบัตรเครดิตเอเชียธนาคารกรุงเทพ เพื่อรับเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นมูลค่า 60 บาทได้ฟรี
ส่วนใครที่จะสั่งข้าว ก็สั่งมาล่วงหน้าก่อนเดินทางมันจะถูกกว่าไปสั่งบนเครื่องประมาณ 50 บาทนะ และถ้าสั่งก่อนก็จะได้น้ำเปล่าด้วย แต่ถ้าไปสั่งบนเครื่องน้ำเปล่าก็ต้องซื้อแยกอีก แพงครับ 555 ถ้าไฟล์ทยาวๆ แบบนี้แนะนำสั่งล่วงหน้าไปก่อน
พอมาถึงสนามบินนาริตะ ที่อาคาร 2 ก็มุ่งตรงไปที่สถานีรถไฟโดยตามป้าย รูปรถไฟไปเลยหาง่ายมาก ครั้งนี้ผมจะเดินทางเข้าเมืองโดยรถไฟ ครับ แต่จริงๆ สามารถเดินทางเข้าเมืองได้หลายวิธี ผมมีทำรวมวิธีเดินทางเข้าเมืองให้แล้วตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยครับ
Tokyo!! รวมวิธีการเดินทาง จากสนามบินโตเกียวนาริตะ เข้าเมือง ด้วยตัวเองได้ง่ายๆ
สำหรับทริปนี้ผมใช้ JR EAST PASS(Tohoku area) แบบ 5 วัน โดยพาสนี้ต้องซื้อจากเมืองไทยไปก่อน เพราะเป็นพาสสำหรับนักท่องเที่ยว และนำเอกสารที่เราซื้อจากไทยไปแลกตั๋วที่เคาน์เตอร์ของ JR ส่วนที่สนามบินนาริตะ ก็ไปแลกที่ JR East Travel Service Center ได้เลย
จนท ก็จะมีใบมาให้เรากรอก และก็จะได้พาสมาหน้าตาแบบในรูป จากนั้นให้แจ้ง จนท ด้วยว่าจะจองที่นั่งรถไฟ N’ex เข้าเมือง พาสนี้ใช้ขึ้นได้ฟรี แต่มันต้องจองที่นั่งก่อน ครั้งนี้ผมก็ให้ จนท จองที่นั่งจากโตเกียวไปเมืองฟุกุชิมะ ให้ด้วยเลย
ตรงนี้มาเจอน้องอีก 2 คนที่จะไปเที่ยวฟุกุชิมะเหมือนกันโดยบังเอิญ 3 วันแรกของทริปก็เลยได้เที่ยวด้วยกันซะเลย
JR EAST PASS(Tohoku area) ก็จะเป็นพาสที่คลุมพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ตั้งแต่ Tokyo ยาวไปจนถึง Ominato เมืองก่อนเข้าฮอกไกโดโน้นเลย เป็นพาสแบบ 5 วัน ไม่ต่อเนื่อง มีอายุ 14 วันนับจากวัน ออกพาส พูดง่ายๆ คือ ใน 14 วันนี้ ใช้วันไหนก็ได้ 5 วัน วันไหนที่เราใช้ เค้าก็จะแต้มตาใส่ช่องไว้
รายละเอียดเพิ่มเติม >>คลิก<<
***แนะนำว่าวางแผนการเดินทางดีๆ วันไหนที่ต้องนั่งรถไฟเยอะๆ ค่อยใช้พาส ส่วนวันไหนที่อาจจะเที่ยวแค่ในเมืองใดเมืองหนึ่ง ก็จ่ายเป็นเที่ยวๆ เอาก็ได้ จะได้คุ้ม
ไปนั่งรถไฟเข้าเมืองกันเลย บนรถไฟ N’ex ก็จะมีที่ให้วางกระเป๋าเดินทางช่วงท้ายขบวน และที่นั่งก็จะมีที่เสียบไฟด้วยใช้เวลาเดินทางประมาณ 51 นาทีก็ถึงสถานีโตเกียว จากนั้นเปลี่ยนนั่งรถไฟชินคันเซน ไปลงเมืองฟุุกุชิมะ ต่อเลยครับ ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 1.30 ชั่วโมง
มาถึงสถานีฟุกุชิมะ ก็เกือบๆ เที่ยง เลย ลากกระเป๋าไปที่โรงแรม แต่ยังเช็คอินไม่ได้เลยต้องฝากกระเป๋าไว้ก่อน ทริปนี้ผมนอนที่ APA Hotel Fukushima นอนอยู่ 5 คืนเลยเพราะมันติดสถานีรถไฟ ไปไหนมาไหนก็ค่อยเดินทางโดยรถไฟเอา ที่คิดไว้ตอนแรกนะครับ 555
เห็นโรงแรมใหญ่ ห้องเยอะขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเต็มนะครับ คือวันแรกที่มามีน้องอีกกลุ่มที่กำลังหาโรงแรมพอดี ก็เลยมาถามที่โรงแรมนี้ ปรากฏว่าห้องเต็ม นี่ยังงง กันอยู่เลยว่าเต็มได้ยังไง นี่มันคืนวันธรรมดา แต่จากที่สังเกตุ เป็นนักธุรกิจญี่ปุ่นมาพักกันเยอะมาก
:: APA Hotel Fukushima ::
- เป็นโรงแรมที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ Fukushima เลย ติดมากๆ
- ผมจองห้องนอน คนเดียวราคา 5 คืนประมาณ 46000 เยน รวมอาหารเช้า
- เครื่องจ่ายเงินที่นี่จะเป็นระบบช่วยเหลือตัวเอง เช็คอินเองได้เลย
- โรงแรมก็ค่อนข้างสะดวกสะบายมาก ของใช้ต่างๆ ครบ
- ทำความสะอาดห้องทุกวัน และมีซุปเปอร์มาร์เก็ต อยู่ติดกันเลย
- มีที่เช่าจักรยานข้างๆ ด้วยนะครับ อาคารเล็กๆ สีน้ำตาล ตามรูปด้านล่าง
- มีสปา สำหรับอาบน้ำด้วย ลูกค้าของโรงแรมใช้บริการได้ฟรี
:: สถานี รถไฟ Fukushima ::
เป็นสถานีใหญ่ ที่มีรถไฟจากเมืองต่างๆ รวมทั้งชินคันเซนก็จะผ่านที่นี่ด้วย ในสถานีก็จะมีร้านค้าร้านอาหารเยอะ และมีซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย ผมเดินไปเล็งองุ่นไว้ละ อยากกินมาก องุ่นญี่ปุ่นได้ข่าวว่าอร่อย
ฝั่งตะวันตกของสถานี จะเป็นสถานีรถบัส และจุดจอดรถแท๊กซี่ ด้านนี้จะมีห้าง SPAL ส่วนฝั่งตะวันออกก็จะเป็นที่จอดรถยนต์ด้านนี้จะมี ซุปเปอร์มาร์เก็ต Ito Yokado ของเยอะเลยครับ ไปเดินดูได้
หลังจากฝากกระเป๋า และหาอะไรกินเรียบร้อย เตรียมเดินทางต่อไปเที่ยวที่แรกของทริป เดี๋ยวตั้งใจว่าจะไปปราสาทซึรุกะ ซึ่งใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 2 ชั่วโมงจากจุดที่อยู่ การเดินทางตามรูปด้านล่างเลยครับ นั่งรถไฟไปลงที่สถานี AIZU-WAKAMATSU ใช้ JR Pass เดินทางได้เลย
ระหว่างที่นั่งรถไฟช่วงเวลาประมาณ 16.20 น. สังเกตอากาศ เฮ้ย ทำไมมันเริ่มมืดแล้วละ พอมาถึงสถานีปลายทาง บรรยากาศมืดสนิท อ้าว จะไปถ่ายรูปอะไรละทีนี้ เข้าใจว่าหน้าหนาวจะมืดเร็ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ วันนี้ยังไม่ทันได้เที่ยวเลยมืดแล้ว
:: ปราสาทซึรุกะ Tsurugajo Castle ::
ด้วยความที่มาถึงมันมืดแล้ว ก็เลยเรียกแท๊กซี่กันไปเลย จริงๆ มีรถบัสไป แต่จะมีเป็นรอบๆ เดี๋ยวบอกการเดินทางโดยรถบัสอีกทีข้างล่าง เพราะผมมีกลับมาที่นี่อีกตอนกลางวัน ปราสาทอยู่ห่างจากสถานี AIZU-WAKAMATSU ประมาณ 1 กิโล พวกเราก็เลยเรียกแท๊กซี่กันไปเลย เร็วดี ราคาประมาณ 1300 เย็น
มาถึงมืด ก็เที่ยวกันแบบมืดๆ นี่ละ ดีที่ตอนกลางคืนปราสาทก็ตกแต่งไฟสวยเลย และก็ยังมีคนเดินทางมาเที่ยวอยู่เรื่อยๆ แต่ร้านค้าตรงปราสาทปิดหมดแล้ว รูปด้านล่างนี้ถ่ายกันช่วง 17.30 น. เองนะครับ แต่ทุกอย่างช่างมืดสนิทยังกะสามทุ่ม
ขากลับนั่งแท๊กซี่เหมือนเดิมมาที่สถานี AIZU-WAKAMATSU จากนั้นจะดูรถไฟกลับปรากฏว่าต้องรออีกประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เลยหาข้าวเย็นกินกันแถวนี้เลย ร้านตรงหน้าสถานีนั่นละครับ เดินหาหลายร้านแต่อารมณ์ออกเป็นร้านนั่งดื่มมากกว่า ของกินก็ออกแนวกับแกล้ม ไม่เป็นไร หิวและหนาว ก็กินๆ ไปก่อน ช่วงนี้ก็ค่อนข้างหนาวเลย อุณหภูมิประมาณ 8-10 องศาเท่านั้นเอง ดึกๆ ก็จะลดลงอีก
นั่งรถไฟกลับกันยาวๆ ออก ประมาณช่วง 2 ทุ่ม ถึงที่พักโน้นละ 4 ทุ่ม จบการเดินทางวันแรกที่เหนื่อยมากๆ เพราะเมื่อคืนบินมาไฟล์ทดึกถึงเช้าก็นอนไม่ค่อยหลับ มาถึงก็เที่ยวต่อเลย ไปต่อกันวันที่ 2
การเดินทางวันที่ 2
10 พ.ย. 2560
เช้านี้เราคุยกันว่าเราจะไม่ใช้ JR Pass ดังนั้นเราจะหาที่เที่ยวแถวๆ เมืองฟุกุชิมะนี่ละ ตื่นมากินมื้อเช้าที่โรงแรม อาหารโอเคเลยนะครับ ไม่เยอะไม่น้อย กำลังดี อยากกินเท่าไรก็ตักกินได้เลยเป็นแบบบุฟเฟต์
:: Azuma Sports Park ::
อิ่มแล้วไปเที่ยวที่แรกกันเลย Azuma Sports Park สวนสวยของเมืองฟุกุชิมะ ก่อนมาดูรูป บอกเลยว่าตรงนี้ต้องมาให้ได้
การเดินทาง : จาก Tokyo นั่งรถไฟชินคันเซน ไปลงสถานี fukushima เดินหาทางออกประตูฝั่งตะวันออก หลังจากนั้น นั่งรถบัส Fukushima Koutsu ที่ป้ายหมายเลข 7 ขึ้นรถสาย 82-1 หรือ 84-1 นั่งไปประมาณ 30 นาที ลงป้าย Azuma Sport Park
***การขึ้นรสบัสที่นี่คือ ขึ้นช่วงกลางบัส จะมีเครื่องให้ดึงตั๋ว และพอตอนลงด้านหน้ารถ ให้หย่อนตัวและจ่ายเงินตามราคาที่แสดง สะดวกมาก
Azuma Sports Park จะเป็นสวนที่อยู่รอบๆ สนามกีฬา มีถนนที่มีต้นแปะก๊วยเรียงยาวไปตลอดสองข้างทาง มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยมากๆ นี่ขนาดมาตอนที่เริ่มร่วงแล้วบางส่วน แต่ยังถือว่าถ่ายรูปแล้วดูสวยอยู่ บริเวณนี้จะมีผู้คนออกมาเดินเล่นพักผ่อนกันเรื่อยๆ ถึงแม้จะมาวันธรรมดา
เราใช้เวลาที่นี่กันอย่างชิลล์ๆ มาก เพราะวันนี้อากาศดี เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ สวยจริงๆ
บริเวณโดยรอบยังมีสวนกุหลาบ ที่มีหลายพันธ์มาก และมีบริเวณให้เดินเล่นชมบรรยากาศในส่วนอื่นๆ ด้วยเป็นอีกสวนที่ชอบมากครับ ใครผ่านมาผ่านไปลองแวะมาเที่ยวนะครับ ช่วงอื่นก็น่าจะสวยเหมือนกัน
น้องเปิดแผนที่ดูเจอว่ามีศาลเจ้าอยู่แถวนี้ด้วยก็เลยพากันเดินมาดู เดินออกมาทางที่จอดรถของสวน จะเดินผ่านหมูบ้าน ทุ่งนาของชาวบ้านแถวนี้ ไปถึงก็เป็นศาลเจ้าจริงๆ แต่ดูร้างๆ เหมือนไม่มีคนดูแล ไม่มีอะไรกลับดีกว่า
มาถึงตอนจะรอรถบัสกลับ แผนที่บอกจะมีป้ายรถบัสอยู่แถวๆ หน้าโรงเรียน ซึ่งเมื้อกี้พวกเราก็เดินผ่านมาแล้ว เลยเดินกลับไปเจอคุณป้าชาวญี่ปุ่นนั่งเก็บสวนหน้าบ้านอยู่ น้องเลยเข้าไปถาม คุณป้าก็เลยชี้ไปที่ป้าย พวกเราเห็นแล้วยังไม่ค่อยเชื่อว่านั่นเหรอป้ายรถเมย์ มันจะมีรถเมย์มาจอดตรงนี้จริงๆ เหรอครับ 555
ป้าก็เลยพาเดินมาส่งตรงป้าย ซึ่งจริงๆ ชี้มาก็ได้ เพราะอยู่ติดๆ ตรงนั้นเอง แต่ป้าก็ใจดีเดินมาส่ง ตรงป้ายรถเมย์มีต้นลูกพลับ อยู่ด้วยเต็มต้นเลย เลยสงสัยว่าคนที่นี่เค้าไม่กินกันเหรอ ทำไมไม่เก็บไปขาย 555
:: Mount Shinobu ::
:: จุดชมวิวและศาลเจ้า ::
กลับมาถึงสถานีฟุกุชิมะก็เกือบๆ จะ 4 โมงเย็นแล้ว พากันรีบหาของกิน และเรียกแท๊กซี่เพื่อที่จะมาถ่ายรูปวิวเมืองฟุกุชิมะบนเขา จริงๆ นั่งรถบัสมาลงแถวๆ นี้ และเดินต่อก็ได้ แต่ด้วยช่วงนี้มืดเร็วมาก ต้องรีบมาก่อนแสงหมด รถแท๊กซี่เลย ง่ายดีส่งถึงบนเขาเลย ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย
บรรยากาศเมืองบนเขาก็ค่อนข้างดีเลย ช่วงเย็นๆ แต่หนาวไปนิด ยิ่งสูงยิ่งหนาวครับ 555 ขากลับไม่มีแท๊กซี่ให้เรียกละ ต้องเดินลงมาจากเขา ละมาแวะที่ศาลเจ้าตรงทางขึ้นเขาก่อน แวะไหว้ขอพรกันซักนิด แล้วเดินต่อมาหาขึ้นรถบัสกลับมาที่สถานีฟุกุชิมะ
กลับมาถึงสถานีฟุกุชิมะ เดินต่อหามื้อเย็นกินดีกว่า มื้อนี้ขอจัดปิ้งย่าง ร้านแถวสถานีเยอะมากๆ หลายร้านที่น่าเข้า ใกล้สถานีคนเต็มแทบทุกร้าน เราเลยลองๆ เดินไปแถวเสาสีส้มๆ ก็ไปเจอร้านหนึงที่ ราคาไม่แพงและได้เยอะด้วย ตอนเราไปว่างโต๊ะหนึงพอดี เกือบถอดใจกับเมนูปิ้งย่างแล้ว ไปร้านไหนก็เต็ม แต่สุดท้ายก็ได้กิน 555
พิกัดร้าน https://goo.gl/nyDJTH
โต๊ะข้างๆ ชาวญี่ปุ่นพาแขกจากโตเกียวมาเลี้ยง ชวนเราคุยดีมาก ช่วยเราสื่อสารกับพนักงานร้านอีกต่างหาก เห็นไฟเตาเราลุกก็เรียกพนักงานให้เอาน้ำแข็งมาให้ ดีมากๆ เลย เรารู้สึกฟินและเต็มอิ่มกับร้านนี้มาก ทั้งเบียร์และหมูย่างกินกันเต็มที่จนดึกดื่นเลย
อุณหภูมิตอนเดินกลับอยู่ที่ 10 องศา กลับห้องมากินองุ่นญี่ปุ่นที่ซื้อไว้ต่อ สีเขียวหวานกรอบ ไร้เมล็ด ส่วนสีม่วงเนื้อฉ่ำรสชาติเหมือนกินไวน์แดง ลูกโตๆ อร่อยคนละแบบ ใครมาญี่ปุ่นลองหาซื้อกินดูตามร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป
กลับห้องนอน จบวันที่ 2 เป็นอีกหนึ่งวันที่ สนุกสนานกับการกินและการเที่ยวมาก อากาศดี อาหารก็อร่อย มีเพื่อนกินอีกต่างหาก^^
การเดินทางวันที่ 3
11 พ.ย. 2560
วันนี้เราออกกันค่อนข้างสาย น้องอีก 2 คนเก็บกระเป๋าเตรียมย้ายไปนอนอีกเมือง ผมก็แอบตื่นสาย เมื่อคืนจัดหนัก 555 วันนี้เรายังเที่ยวด้วยกันเพราะเมืองที่จะไปเที่ยวก็คือเมืองที่น้องจะย้ายไปพักนี่ละครับ แต่ผมยังนอนที่เดิม ขี้เกียจย้ายกระเป๋าบ่อย
เราเดินทางมาถึงสถานี Aizu Wakamatsu ก็เที่ยงกว่าๆ แล้ว เช็ครถไฟมีอีกทีรอบ บ่าย สอง นานมาก แต่ไม่เป็นไร เราหาข้าวเที่ยงกินกันก่อนพอดี วันนี้ฝากท้องไว้กับร้านราเมง หน้าสถานี ออกมาขวามือเจอเลย เราแอบผ่านหลายรอบแต่ไม่แวะ เพราะมันใกล้เกิน แต่วันนี้ลองกินแล้ว เฮ้ย!! อร่อย มีไข่เป็ดต้มมาให้แกะกินระหว่างรอราเมงด้วย ดีงามจริงๆ
***ข้อเสียของการเที่ยวโซนนี้คือรอบรถไฟน้อย ถ้าพลาดรอบหนึ่ง คือรอยาวเป็นชั่วโมงเลย ค่อนข้างเสียเวลาเที่ยวพอควร
พอได้เวลาจะขึ้นรถไฟ เดินเข้ามาเจอ ขบวนรถไฟไอน้ำ SL ที่มีรอบวิ่งเฉพาะ เสาร์อาทิตย์เท่านั้นจอด ได้รับความสนใจจากคนแถวนั้นมากๆ วิ่งมาถ่ายรูปกันเต็ม รวมทั้งพวกผมด้วย ขนาดรีบๆ รถไฟก็กำลังจะออก 555 ก็ยังแวะถ่าย เรากำลังจะไปที่ หมู่บ้านโบราณ “Ouchi-juku” กัน
สำหรับสภาพอากาศวันนี้ถือว่าเลวร้ายมาก ฝนตก เซ็งเลย อุส่าห์มาไกล อดได้รูปฟ้าสวยๆ เลย
:: หมู่บ้านโบราณ “Ouchi-juku” ::
เป็นหมู่บ้านโบราณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของเมืองฟุกุชิมะเลย ผมว่าน่าเดินกว่าหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ซะอีก เพราะที่นี่มีร้านขายของ ร้านอาหารให้แวะได้ตลอกทาง แต่สไตล์บ้านจะคนละอย่างกัน
การเดินทาง : นั่งรถไฟ มาที่ Aizu Wakamatsu ก่อนเปลี่ยนเป็นรถไฟเอกชนนั่งต่อไปยังสถานี Yunokami Onsen (ใช้ JR pass ไม่ได้ต้องจ่ายเพิ่มอีก 840 เยน) จากนั้นนั่งรถบัสไปยังหมู่บ้าน Ouchi Juku และค่ารถบัสซื้อไปกลับ อีก 1000 เยน
ออกมาจากสถานี Yunokami Onsen เลี้ยวขวา จะเป็นรถบัส ส่วนเลี้ยวไปทางซ้ายจะมีสปาให้แช่เท้าได้ฟรี
วันนี้ตัวเลือกในการเดินทางน้อยมาก เรามาถึงสถานี Yunokami Onsen ประมาณบ่ายสาม รถบัสมีอีกทีรอบประมาณ บ่ายสามครึ่งไปถึงหมู่บ้านก็ประมาณ 4 โมงเย็น และรถบัสกลับจากหมู่บ้านรอบสุดท้ายมีตอน 16.40 น. ก็แสดงว่าเรามีเวลาในการเดินที่หมู่บ้านประมาณ 40 นาทีเท่านั้น ตอนแรกก็จะนั่งแท๊กซี่ แต่ไปไหนหมดไม่รู้ตอนนั้น ไม่เห็นแท๊กซี่ซักคัน
สรุปนั่งบัส มาทั้งที ขอไปเก็บรูปหน่อย ไปถึงก็รีบเดิน รีบถ่ายรูป ไม่ได้แวะซื้ออะไรกินเลย เดินตรงไปจนสุดจะมีจุดให้ขึ้นไปชมวิวด้านบนของหมู่บ้านได้
วันนี้บอกเลยว่าเละ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมมาใหม่วันหลังอีก
นั่งบัสกลับมารอที่สถานี Yunokami Onsen สังเกตเห็นที่จอมีภาษาไทยด้วย เตรียมรับนักท่องเที่ยวไทยเต็มที่ ซื้อตั๋วรถไฟเพิ่มอีก 840 เยน อย่าลืมแสดง JR pass ด้วยนะ เพราะถ้าไม่แสดง ราคาจาก Yunokami Onsen ไป Aizu Wakamatsu มันจะราคา พันกว่าเยน แต่ถ้าแสดงจะเหลือแค่ 840 เยน เพราะรถไฟนี้จะมีวิ่งไปบนรางของ JR ด้วย 2 สถานี เราถือ JR ก็เลยจ่ายแค่ในช่วงของรางรถไฟที่เป็นเอกชน
จบวันที่ 3 เหนื่อยมากๆ กับการเดินทาง แถมอากาศไม่ดีอีกต่างหาก จริงๆ ถ้าใครจะมาเที่ยวเมืองนี้ควรมาพักที่ Aizu Wakamatsu เพราะที่เที่ยวหลักๆ เดินทางจากสถานีนี้ไปจะสะดวกมาก ถ้าอยู่สถานี Fukushima เดินทางมาก็ขาละประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงเลย
การเดินทางวันที่ 4
12 พ.ย. 2560
วันนี้เดินทางไปเก็บที่เที่ยวแถว Aizu Wakamatsu อีกรอบ นี่เที่ยวอยู่แถวนี้กันหลายวันมาก ทริปนี้พลาดเรื่องการเลือกที่พัก เพราะไกลจากแหล่งท่องเที่ยวของเมืองมาก แต่ก็พยายามออกแต่เช้าเอา แต่ช่วงนี้ก็ดันมืดเร็วสุดๆ วันนี้เริ่มเล่าการเดินทางจาก Aizu Wakamatsu เลยนะครับ
สังเกตรูปด้านล่าง ฝั่งซ้ายถ่ายวันที่ 11 ฝั่วขวาถ่ายวันที่ 12 เฮ้ย เมื่อคืนหิมะตกบนเขา ไม่น่าละวันนี้หนาวเชียว
เมื่อคืนอ่านข้อมูลในเพจ Welove Fukushima แล้วเจอ Ouchi juku One-day Pass พอดี เดี๋ยววันนี้เราจะหาซื้อพาสนี้ใช้กัน เพราะถูกและคุ้มมาก
ถ้ามาเที่ยวช่วงเดือนเมษายน-เดือนพฤศจิกายน แนะนำให้ซื้อ Ouchi juku One-day Pass ราคา 1900 เยน พาสใบนี้ใช้นั่งรถไฟ ไป-กลับ Aizu-wakamatsu – Yunokami Onsen – Tonohetsuri + นั่งรถ Shuttle บัสไป-กลับ หมู่บ้าน Ouchi Juku ได้ฟรีเป็นพาสที่คุ้มมากๆ จริงๆ
ตอนที่อยู่สถานี Aizu-wakamatsu ก็พยายามถาม จนท นะครับว่าพาสนี้มันซื้อที่ไหนเหรอ จนทบอกว่า ไปซื้อที่ สถานี Yunokami Onsen นะ แต่ขบวนที่กำลังจะออกรอบ 10 โมงนี้คุณต้องจองที่นั่งนะ แล้วจองที่ไหน ไปถามเคาน์เตอร์ขายตั๋ว JR ตรงสถานีเค้าก็จองให้ไม่ได้ ก็เลย งงๆว่า แล้วขาไปนี่จะให้นั่งฟรีไปเหรอหรือยังไง
เดิน งง มาจนถึงรถไฟ ก็เห็นคนกำลังต่อแถวซื้อกับ จนท บนรถไฟ ก็เลย อ๋อ ซื้อได้บนรถไฟ แต่เห็นน้องที่เที่ยวด้วยกันวันก่อนบอกว่าซื้อตรงหน้าสถานี Aizu-wakamatsu ก็ได้ ตรงนั้นจะมีเคาน์เตอร์ขายตั๋วอยู่ หรือจะไปซื้อที่สถานี Yunokami Onsen ก็ได้เช่นกัน ผมกำลังจะเดินทางไปที่ Tonohetsuri เป็นที่แรก
พอมาถึงรถไฟก็พบว่าขบวนที่จะนั่งเป็นรถไฟขบวนพิเศษ ถึงต้องเสียค่าจองที่นั่งเพิ่มอีก 310 เยน มันเป็นรถไฟขบวนแมวนั่นเอง คนชอบแมวน่าจะฟินกับรถไฟขบวนนี้มาก มีของขายบนรถไฟด้วย เป็นเส้นทางรถไฟที่สวยมาก วิวสองข้างทางสวยสุดๆ
และระหว่างรถไฟเข้าอุโมงค์ อยู่ดีๆ รูปที่ติดๆ ตามรถไฟก็เรืองแสงได้ เป็นรูปเท้าแมวเดิน และมีฉายวีดีโอ ใส่กำแพงให้ ดู เฮ้ย มันแนวมาก วิ่งถ่ายรูปกันแทบไม่ทัน และที่พิเศษมากๆ สำหรับขบวนนี้คือ พอถึงสะพานตรงไหนสวยๆ เค้าจะจอดรถไฟให้ถ่ายรูปด้วย แต่ถ้ารถไฟขบวนปกติไม่จอดนะครับ
***ถ้าดูข้อมูลมาไม่ผิด ขบวนนี้จะมีวิ่งเฉพาะ เสาร์อาทิตย์ รอบ 10 โมงเท่านั้น
:: Tonohetsuri ::
มาถึงสถานที่ เป้าหมายของวันนี้เลย คือ Tonohetsuri เป็นลักษณะสะพานข้ามน้ำไปยังภูเขาอีกฝั่ง ซึ่งสวยมากๆ พอมาถึงแล้วก็เกิดคำถามกับตัวเองเลยว่า ทำไมเราพึ่งมารู้จักที่นี่ มาญี่ปุ่นก็หลายครั้งแล้วทำไมไม่เคยผ่านตาเลย ยิ่งช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่ผมไปนะ สวยมากๆ โดยเฉพาะเวลาแดดส่งลงน้ำ สีสวยสุดๆ
การเดินทาง : จากสถานี Koriyama นั่งรถไฟสาย JR Ban-Etsusai Line ไปลงที่ Aizu Wakamatsu ก่อนเปลี่ยนเป็นรถไฟเอกชนนั่งต่อไปยังสถานี Tonohetsuri ก่อนเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
ข้อมูลการเดินทางจาก Welove Fukushima
ด้านบนจะมีจุดให้ชมวิว ถ่ายรูปสะภาพมุมสูง ส่วนข้ามสะพานไปอีกฝั่ง ก็จะมีคล้ายๆ ศาลเจ้าเล็กๆ ให้คนขึ้นไปไหว้ขอพรกัน เวลาเราเดินข้ามสะพาน ก็จะแกว่งๆ หน่อยถ้าเหยียบแรงก็จะแกว่งมาก แอบเสียวหน่อยๆ
*** ตอนมาถึงนี่ดูรอบรถไฟให้ดีๆ นะครับ ว่าจะกลับรอบกี่โมง เพราะถ้าไม่ทันนี่รอยาวเลย เพราะรถไฟนานๆ มาที แต่มีรอบบอกอยู่ตรงสถานี
:: หมู่บ้านโบราณ “Ouchi-juku” ::
Come back กลับมาอีกครั้งครับ 555 วันนี้ผมใช้พาส Ouchi juku One-day Pass รวมการเดินทางมาหมู่บ้านด้วย ก็เลยต้องแวะมาเก็บภาพอีกรอบ เพราะวันนี้อากาศดี แต่เมื่อวานที่มา ฝนตกถ่ายรูปไม่ได้เลย สถานีรถไฟก็อยู่ถัดกันมา 1 สถานีจาก Tonohetsuri
การเดินทาง : ใช้พาส Ouchi juku One-day Pass ก็จะรวมการเดินทางมาที่หมู่บ้านนี้ด้วย นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Yunokami Onsen แล้ว นั่งรถ Shuttle บัสไป-กลับ หมู่บ้าน Ouchi Juku นั่งได้เลยทั้งรถไฟรถบัส
บรรยากาศที่หมู่บ้านวันนี้ต้องบอกเลยว่าดีงามครึกครื้น มาก เพราะเป็นวันอาทิตย์ ภารกิจของผมที่อยากทำวันนี้คือ ขึ้นไปถ่ายรูปจุดชมวิวของหมู่บ้านอีกรอบ แล้วก็แวะกินราเมงต้นหอม อีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อ ของที่นี่ ร้านจะอยู่ฝั่งซ้ายมือนะครับ ถ้าเราหันหน้าเดินไปที่ภูเขา และมาที่นี่ก็เช็ครอบรถบัสดีๆ เหมือนกันครับ ไม่ได้มีตลอดนะ ประมาณ 16.40 น. ก็รอบสุดท้ายบางช่วงก็ 2 ชั่วโมงมีรอบหนึง
มาเที่ยวโซนนี้เก็บที่เที่ยวได้ 2-3 ที่นี่ถือว่าเก่งมากแล้วครับ
และสำหรับคืนนี้ผมตัดสินใจไม่กลับที่พักที่ฟุกุชิมะ เพราะวันพรุ่งนี้ผมจะไปถ่ายรูปรถไฟ Tadami ถ้ามาจากฟุกุชิมะ ยังไงก็ไม่ทัน เลยต้องยอมเสียค่าโรงแรมเพิ่มอีกคืนที่ Aizu Wakamatsu และที่สำคัญ ผมไม่ได้เอาเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวอะไรมาเลย เสื้อผ้าก็ใส่ชุดเดิมเอา ส่วนของใช้ก็มาหาซื้อใหม่เท่าที่จำเป็น ดีที่มีสายชาร์ทมือถือติดมาด้วย แต่แบตกล้องไม่ได้เอาที่ชาร์ทมา จึงปิดไว้เลย รอเอาไว้ถ่ายรูปรถไฟพรุ่งนี้อย่างเดียว 555
พักโรงแรมชื่อว่า Washington Hotel ห่างจากสะถานีรถไฟประมาณ 400 เมตร คืนนี้จ่ายไป 1810 บาท เพื่อเก็บภาพสวยๆ มาฝากทุกคน ผมยอมจ่าย ผลจากการไม่ได้มีเวลาวางแผนทริปอย่างละเอียดก่อนมา ก็เลยไม่ค่อยรู้ว่าควรเลือกพักเมืองไหนดี แต่ตอนนี้รู้แล้ว 555
ใกล้ๆ ที่พักมี Family Mart ด้วย สะดวกหาของกินง่ายครับ
จบการเดินทางไปอีกวัน วันนี้ต้องรีบนอน เพราะพรุ่งนี้จะตื่นแต่เช้ามากๆ
การเดินทางวันที่ 5
13 พ.ย. 2560
วันนี้ตื่นแต่เช้ามาก ประมาณ 05.00 น. ถ้าเวลาที่ไทยก็ตี 3 ง่วงมากๆ แต่ก็ต้องตื่นให้ได้ เพราะถ้าพลาดรถไฟรอบ 6 โมง ก็จะไม่ทันถ่ายรถไฟ Tadami รอบ 9 โมง โน้นละ ได้ถ่ายอีก ที บ่ายโมง
การเดินทาง : จากสถานี Aizu-Wakamatsu(6:00am) นั่ง JR Tadami line ไปลงที่สถานี Aizu Miyashita(7:29am) จากนั้นนั่ง Micro-bus ต่ออีกประมาณ 5 นาทีไปลงที่จุดพักรถ(Michi no Eki Mishima Juku) จะเป็นจุดพักรถตามรูปด้านล่าง
พอ ออกจากสถานีรถไฟมาจะเห็น Micro-bus จอดอยู่ ตอนผมไปถึงทีแรก ไหนรสบัสอยู่ไหน เห็นแต่รถตู้ แต่มีสติ๊กเกอร์ติดว่าบัสอยู่ 555 เลยเดินเข้าไปถามและเปิดรูปให้ดูว่าจะไปที่นี่ คุณลุงบอกขึ้นมาเลยไอ้หนู ค่ารถ 500 เยน จ่ายแบงค์พันไม่มีทอน วิ่งไปกดน้ำกินเอาตังค์มาทอนอีก 555
รถนี้มีเฉพาะรอบ 7.30 น. นะครับ ใครมาไม่ทันก็เดินขึ้นไปเอาเด้อ 3 กิโลเบาๆ แต่ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจะมีจักรยานให้เช่าราคา 100 เยน แต่มีไม่กี่คันไง ไปถึงก็หมดละมั้ง
ไปถึงด้านบนต้องเดินต่อไปยังจุดชมวิว ตอนนั้นผมเดินขึ้นไปประมาณ ช่วง 8 โมงเช้า อุณหภูมิบนเข้าตอนนั้นประมาณ 2 องศาครับ หนาวมาก ยืนรอถ่ายรถไฟไปอีก ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่ารถไฟจะมา เกือบแข็งละตอนนั้น หนาวจริงๆ คนก็เริ่มทยอยมา แต่ละคนอุปกรณ์จัดเต็มมาก
จุดชมวิวจะมี 4 จุด A B C และ D ตามแผนที่ จุด D คือจุดที่ดีที่สุด เพราะจะมองเห็นรถไฟจากทั้งสองด้าน
:: รถไฟสาย Tadami ::
ตอนแรกก็นึกว่าจะพลาดซะแล้วเพราะเช้านั้นเมฆลอยบังสะพานหมดเลย แต่พอแดดออกมันก็เริ่มหายไป รอไปซักพัก ก็ได้เวลารถไฟมา ดีที่ก่อนจะโผล่มา มีการส่งเสียงบีบแตรให้ได้รู้ก่อน ไม่งั้นมีสิทธิที่จะถ่ายไม่ทันสูงมาก และเมื่อรถไฟโผล่มา เสียงชัตเตอร์ดังแบบรัวๆ มาก ไปดูคลิปที่เพจได้ ต่างคนต่างถ่ายกันกระหน่ำ เพื่อให้ได้ภาพ และสุดท้ายก็ได้ครับ ฮ่าๆ สมกับที่อดทนรอถ่าย และลงทุนกับสถานที่นี้ไปสูงมาก 555
สำหรับใครจะไปถ่าย แอบกระซิบไว้เลยว่า รอบรถไฟช่วง 9 โมงนี่แหละ ถ่ายรูปสวยที่สุด เพราะเงาสะพานจะสะท้อนลงแม่น้ำพอดี ถ้ามาเช้ากว่านี้ เงาภูเขาก็จะบังทางรถไฟ ไม่สวย
พอรอบรถไฟช่วง 9 โมงหมด ตากล้องแทบทุกคนที่อยู่ตรงนั้น เก็บของลงเขากันอย่างไว อารมณ์แบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ จากนั้นก็เดินไปที่ จุดพักรถ กะจะไปรอรถกลับเห็นว่ามีรอบ 10.30 น. แต่ไปถึงแล้วไม่มีครับ 555 เห็นว่าต้องบอกตั้งแต่ขามาว่าจะกลับเวลาไหน เค้าถึงมารับ สรุปเดินกลับ กินลมชมวิว 2 ข้างทาง เดินกลับมาที่สถานีรถไฟ ระยะทางประมาณ 3 กิโลเลย ดีที่เดินลงเขา และอากาศเย็น สบายๆ เดินได้เรื่อยๆ
ลงมาถึงข้างล่างประมาณช่วงเที่ยว แต่รถไฟกลับมีรอบ 12.58 น. เลยแวะไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของเมือง ตามรูปล่างซ้ายมือเลย อยู่แถวๆ หน้าสถานีรถไฟนี่ละครับ หลบหนาว มีชากาแฟขาย และมีเอกสารท่องเที่ยวภาษาไทยด้วย
:: ปราสาท ซึรุกะ Tsurugajo Castle ::
จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับมาที่สถานี Aizu-Wakamatsu และนั่งรถบัสไปต่อที่ปราสาท ซึรุกะ Tsurugajo Castle รอบที่แล้วมากลางคืน รอบนี้เลยจะแวะมาเก็บภาพช่วงกลางวัน ช่วงกลางวันนี่ก็สวยเลยทีเดียว แต่ช่วงที่มาก็กำลังใกล้จะมืดแล้ว
ปราสาทนี้ผมรู้สึกว่าเค้าดูแล ดีมาก ครั้งที่แล้วผมมา มีประดับไฟแบบหนึง ครั้งนี้มากำลังรื้อออกและประดับแบบใหม่ และกำลังแต่งกิ่งต้นไม้กันยกใหญ่
การเดินทาง : นั่งบัสที่หน้าสถานี Aizu-Wakamatsu ที่ป้ายหมายเลข 6 จะมีบัสคันเขียวและแดง นั่งได้ทั้ง 2 คัน ผ่านปราสาททั้งคู่ ลงที่ป้าย Tsurugajo ได้เลย ค่าโดยสาร 210 เยน ตลอดสาย ฟังชื่อเอานะครับตอนจะถึงป้าย คนลงเยอะอยู่ครับ
ขากลับออกมารอรถบัสฝั่งตรงข้ามกับที่ลงตอนขามา แต่ขากลับไม่ใช่คัยเขียวกับแดงครับ ที่ผมนั่ง เป็นเหมือนรถบัสปกติ เค้าจอด ก็เลยขึ้น ก็มาส่งที่สถานีรถไฟเหมือนกัน จากนั้นก็ต่อรถไฟกลับมาที่ฟุกุชิมะเหมือนเดิม เพื่อกลับที่พัก
จบการเดินทางวันที่ 5 วันนี้ก็ค่อนข้างเที่ยวได้ตามเป้า ทำเวลาได้ดี กลับที่พักไปนอนดีกว่า คืนนี้นอนที่เมืองฟุกุชิมะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว
การเดินทางวันที่ 6
15 พ.ย. 2560
วันนี้เป็นวันที่จะเที่ยววันสุดท้ายแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีบินกลับไฟล์ทเช้าที่สนามบินนาริตะ คืนนี้ก็เลยจะไปนอนที่โรงแรมใกล้ๆ สนามบิน และสถานที่เที่ยวที่จะไปวันนี้คือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำฟูกุชิมะ ซึ่งถ้าเดินทางมาจากโตเกียวจะง่ายกว่าเพราะมีรถไฟด่วนถึงเลย แต่จากฟุกุชิมะก็ไปได้เหมือนกันแต่นั่งบัสไป
แผนผมวันนี้ก็เลยจะตื่นกินเข้าเช้า เช็คเอาท์ที่โรงแรม และนั่งชินคันเซนรอบ ประมาณ 7.30 น. เข้าโตเกียวก่อน
ผมนั่งรถไฟต่อมาที่สถานีชินจุกุ เพื่อจะเอากระเป๋ามาฝากที่นี่ก่อน เพราะขากลับมาจากพิพิธภัณฑ์ จะมาหาช๊อปที่แถวย่านชินจุกุ ก่อนกลับไทย โดนค่าฝากกระเป๋าไป 500 เยน ราคาแล้วแต่ขนาดล๊อคเกอร์นะครับ ถ่ายรูปใบเสร็จไว้ด้วยนะ เอามาไว้รับกระเป๋ามันจะมีหมายเลขอยู่
:: พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำฟูกุชิมะ Aquamarine Fukushima ::
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำฟูกุชิมะ ตั้งอยู่ที่เมืองอิวากิ (Iwaki) จังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เดินทางมาจากโตเกียวง่ายกว่าเดินทางมาจากเมืองฟุกุชิมะ ครับ 555 แอบบ งง เล็กน้อย
การเดินทาง : นั่งรถไฟ Limited Express จากสถานี Tokyo มาลงที่ สถานี Izumi ใช้เวลา 131 นาที จากนั้นขึ้นรถบัสหน้าสถานี ที่ป้ายหมายเลข 1 เพื่อไปลงที่ป้าย Shisho Iriguchi ราคา 330 เยน ดูราคาที่จอหน้ารถบัสนะครับ พอมันเริ่มแสดงราคา 330 ให้เตรียมฟังชื่อสถานีเลย จะมีบอกอยู่ว่าป้ายหน้าคือสถานีไหน
ราคาตั๋ว ผู้ใหญ่ 1800 เยน / เด็ก 900 เยน
ตอนลงผมแอบหยอดเงินเกิน ลุงคนขับคงบ่นผมละครับ 555 แกต้องเอาคูปองเงินส่วนที่เหลือมาให้ผม เพราะเครื่องมันไม่ทอนเงิน แต่มันจะมีเครื่องให้แลกเหรียญก่อนหยอดอยู่ แต่ผมก็มือไวไง 555
จากป้ายรถบัส ให้เลี้ยวขวาตรงแยกที่ลง ก็จะมองเห็นห้าง AEON และหลังคา ของ พิพิธภัณฑ์ แอบเดินไกลอยู่นะครับ วันนี้ผมมาฝนตกด้วย ร่มก็ไม่ได้พกมา 555 เดินตากฝนปรอยๆ ไปเลยหนาว ก็หนาว
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำฟูกุชิมะ ก็มีขนาดใหญ่พอสมควรเลย มีสัตว์น้ำแสดงอยู่หลายโซนมาก เข้าไปจะมีทางให้เราเดินไปเรื่อยๆ เลย ได้เห็นครบทุกโซนแน่นอน ถือว่าออกแบบทางเดินมาได้ดี และด้านในมีทั้งโซนศิลปะ และโซนข้อมูลต่างๆ เหมาะเป็นศูนย์การเรียบรู้สำหรับเด็กๆ มากๆ
และมีจุดดูปลาที่เป็นไฮไลท์ๆ อยุ่หลายจุด
อ้อ และที่นี่ยังมีอาคารกระจกให้สามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงของเมืองได้ และมีชายหาดเทียมด้านนอกให้คนออกไปทำกิจกรรมกัน แต่วันนี้คงทำไม่ไหวละครับ ทั้งหนาวทั้งฝน
ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ออกมาตอนบ่ายสาม มีรถไฟกลับโตเกียวรอบประมาณ 15.30 น. ตอนนั้นก็เลยถาม จนท ตรงนั้นว่าที่นี่มีแท๊กซี่ไหม เพราะรอบรถบัสก็มีอีกทีรอบ 15.30 น. ซึ่งไม่ทันและต้องเดินตากฝนออกไปรอบัสอีก
จนท บอกว่ามีแต่ต้องโทรเรียก ให้เบอร์ผมมา ผมก็เลยให้ช่วยโทรให้หน่อย เค้าก็ช่วยเหลือเป็นอย่างดี และบอกให้ออกมารอตรงจุดขึ้นรถแท๊กซี่ ผมก็ออกมายืนรอ ซักพักมา จนท วิ่งตามมา เอากระดาษเขียนภาาาญี่ปุ่นมาให้ เอาไว้ให้เรายื่นให้แท๊กซี่ ประทับใจในความช่วยเหลือมากครับ โดนค่าแท๊กซี่ไปประมาณ 2200 เยน 555 หนักหนาอยู่ แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องเดินตากฝนและถือว่าซื้อเวลาด้วยเพราะรีบกลับไปช๊อปต่อที่ชินจุกุ
ตอนมาถึงสถานี Izumi ถือ JR Pass ไป จะไปจองที่นั่ง มาถึงแบบใกล้เวลารถไฟจะมาแล้ว คุณลุง จนท กดช้ามาก แถวก็ยาวๆ จะทันไหมหน้อๆ ตอนถึงคิวผมเหลืออีก 2 นาทีรถไฟจะออก วิ่งเลยครับงานนี้ ดีที่สถานีไม่ใหญ่ สรุปก็ทัน 555 คือถ้าไม่ทันนี่รอรอบต่อไปอีกชั่วโมงเลย
มาถึงชินจุกุตอนประมาณ 6โมงเย็น ไปเดินช๊อปที่ห้าง Takashimaya อีกประมาณ 2 ชั่วโมงเลย แล้วกลับไปที่สถานีชินจุกุ จะไปจองตั๋วรถไฟ N’ex ไปสนามบินนาริตะ แล้วจะต่อรถบัสรับส่งของโรงแรม เข้าที่พักอีกที แต่ จนท บอกว่า รถไฟ N’ex ตอนนี้หมดแล้ว 555 ผมไม่ได้เช็ครอบอีกแล้ว ตอนแรกเข้าใจว่าคงมีรถวิ่งน่าจะถึงเที่ยงคืน
จนท ก็เลยได้นั่งรถไฟธรรมดาไปสนามบิน ต่อรถไฟที่ CHIBA ใช้เวลาเดินทาง ประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงเลยครับกว่าจะถึงสนามบิน ไปลงที่ อาคาร 2 จากนั้นไปรอที่จุดขึ้นรถบัสของโรงแรมที่ป้ายหมายเลข 27 ผมพักที่ Marroad International Hotel Narita ที่เลือกที่นี่เพราะถูกสุดและมีรถรับส่งจากสนามบินฟรี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้นครับ ใกล้มาก
ระหว่างรอรถโรงแรมมารับที่สนามบินนาริตะ คุณป้าชาวจีน 2 คน เดินไปเดินมาดูป้าย ตรงจุดจอดรถ และพยายามจะใช้ กูเกิลแปลภาษา แปลชื่อ โรงแรม แต่มันไม่แปลซักที ผมแอบสังเกต อยู่ซักพัก จนรู้สึกว่า ต้องเข้าไปช่วยดูแล้วละ ก็เลยเดินเข้าไปถามว่าพักโรงแรมไหน (ป้ายที่ยืนรอมีรถบัสของ 2 โรงแรมจอด) แต่ป้าแกก็พูดอังกฤษไม่ได้ จึงขอดูมือถือ ก็พบว่า ใบจองโรงแรมของป้า เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ก็เลยจัดการเทียบตัวอักษรญี่ปุ่นเลยทีนี้
สรุปพักโรงแรมเดียวกัน แต่ แต่ แต่ พอรถของอีกโรงแรมมา ป้าแกจะกระโดดขึ้น ก็เลยกวักมือบอกไม่ใช่ๆ รอก่อนๆ จนสุดท้ายก็ขึ้นถูกคัน 555
พอมาถึง โรงแรมก่อนจากป้าโค้งขอบคุณ อย่างจริงใจอีกรอบ สำหรับผมนะ ประทับใจทุกครั้งเวลาเดินทางแล้วได้รับน้ำใจ ความช่วยเหลือจากคนท้องที่ หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวด้วยกันเอง
สำหรับทริปนี้ก็ได้กระเป๋ารุ่นใหม่ของ American tourister รุ่น Bon Air มาใช้ด้วย ผมชอบมากครับ สวย เบา ลากง่าย ทน และที่สำคัญขยายกระเป๋าได้ ไว้ใส่ของช๊อปเพิ่มตอนขากลับ
มาถึงโรงแรมก็ลากกระเป๋ารีบไปเช็คอิน ขึ้นห้อง ทานข้าวที่ซื้อมาจากห้าง Takashimaya แล้วก็รีบนอนเลย เพราะพรุ่งนี้มีบินไฟล์ทเช้าตอน 9.15 น. ตอนเช็คอินทางโรงแรมจะมีตารางเวลามาให้ครับ ว่ารถบัสไปสนามบินมีรอบกี่โมงบ้าง ผมเลยนัดไว้รอบ 7.00 น.
จบการเดินทางสำหรับวันนี้ เป็นอีกวันที่ใช้เวลาอยู่บนรถไฟนานมาก ประมาณ 7 ชั่วโมงเลยวันนี้ พรุ่งนี้จะได้กลับแล้วว
วันสุดท้าย
15 พ.ย. 2560
ตื่นเช้ารีบเก็บกระเป๋า นัดรถโรงแรมไว้ 7 โมงแต่ไม่ทัน เลยลงมารอบ 7.15 น. รถช่วงเช้ามีเยอะหลายรอบครับ ลากกระเป๋ามาขึ้นได้เลย ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมมาสนามบินแค่ 10 นาทีเอง ผมว่าดีนะ ถึงจะบินเช้าแต่ก็ไม่ต้องตื่นเช้ามาก นอนใกล้สนามบินก็สะดวกดีชอบเลย
รถโรงแรมจะมาส่งทั้งอาคาร 1 และ 2 ผมบินกลับสายการบิน Thai AirasiaX ต้องลงที่อาคาร 2 และตรงไปเคาน์เตอร์เช็คอิน แถว N ได้เลย ทำเว็บเช็คอินขากลับมาแล้วก็ตรงไปที่ช่องโหลดกระเป๋าได้เลย ไม่มีคิว ส่วนแถวเช็คอินปกติก็คิวยาวพอควรผมไปถึงก็เช็คอินได้เลย ไม่ถึง 5 นาที
แล้วก็รีบเข้าไปด้านในเลย คนตรงจุดตรวจความปลอดภัย และผ่านตม คนค่อนข้างเยอะนะครับ ใครเดินทางต้องเผื่อเวลาหน่อย
ขากลับบินไฟล์ท XJ601 เวลา 09.15 (NRT)-14.05 (DMK) ใช้เวลาบินเกือบๆ 7 ชั่วโมงเลย ขากลับเจอกลุ่มนักเรียนไทยไปแข่งเชีนร์ลีด กลับมาพร้อมกันกลุ่มใหญ่ เลย เห็นว่าไปแข่งมาได้ที่ 3
บนเครื่องไฟล์ทนี้ก็คนเต็มลำเลย ผมได้นั่งช่วงท้ายลำติดหน้าต่าง หลับๆ ตื่นๆ ตลอดทาง จนมาถึงสนามบินดอนเมืองบ่ายสองพอดีเป๊ะ
จบการเดินทางสำหรับทริปเที่ยวเมืองฟุกุชิมะ 8-15 พ.ย. 2560
เป็นอีกทริปที่ผมรู้สึกได้เปิดหูเปิดการเที่ยวญี่ปุ่นมากๆ เมืองฟุกุชิมะ มีสถานที่สวยๆ เยอะเลย และยังถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังสดใหม่ สำหรับคนไทยมากๆ ผมว่าน้อยคนที่จะเคยไป นี่ยังมีอีกหลายที่ๆ เวลามันไม่ได้แล้วผมต้องตัดออกนะครับ มีโอกาสไปญี่ปุ่นก็ว่าจะแวะไปเก็บสถานที่ ที่เหลือ
คำแนะนำสำรับคนที่จะไปเที่ยวโซนนี้
1.แนะนำเลือกที่พักแถว AIZU-WAKAMATSU จะเดินทางไปที่เที่ยวสำคัญต่างๆ ได้สะดวก
2.ดูรอบรถไฟ วางแผนการเดินทางดีๆ เพราะรอบรถไฟ รถบัสค่อนข้างห่าง พลาดทีละยาวเลย
น่าจะมีแค่นี้ที่อยากฝาก ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปกติดี ไม่มีอะไรต้องกังวลเที่ยวได้เหมือนเมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่น
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ ฝากติดตามรีวิวทริปต่อๆ ไปของผมด้วยนะครับ